เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ เม.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สมัยก่อนนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านออกมาจากหลวงปู่มั่นทั้งหมด ข้อวัตรมันก็จะเหมือนกัน ทำอะไรมันก็แบบว่า.. หลวงปู่ฝั้นท่านพูดนะ อาคันตุกวัตร อาจริยวัตร คาราวะ ๖ ศาสนาจะมั่นคงตรงนี้ เวลาพระไปมาหาสู่กันใช่ไหม อาจริยวัตร พระที่อยู่วัดต้องบอกข้อวัตรปฏิบัติ อาคันตุกวัตร อาคันตุกะมา มีการปฏิสันถาร มันอบอุ่นไง จะไปไหนมันไปหากัน พระกรรมฐานเมื่อก่อนรักกันมากนะ เพราะว่ามาจากหลักเดียวกัน แต่ต่อไปๆ เวลามามาจากสายไหนๆ เพราะครูบาอาจารย์ มีจริตนิสัยมันก็แยกไป ความเห็นของคนมันก็แยกๆ กันไป พอแยกกันไป สิ่งนี้ก็ต้องคอยสังเกต แต่ต้องยึดหลักธรรมวินัย ถ้าธรรมวินัยถูกต้อง เพราะเวลาหลวงปู่ฝั้นท่านพูดก็คาราวะ ๖ มันก็อยู่ในนวโกวาท หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เวลาประชุม ลงประชุมพร้อมกัน เลิกประชุมพร้อมกัน

ดูสิ วัชชีบุตรหรือวัชระพราหมณ์ที่พระเจ้าอชาตศัตรูจะไปโจมตี พระพุทธเจ้ารู้แจ้งโลก รู้หมด รู้ทั้งโลกนอกโลกใน ก็ส่งพราหมณ์ไปถามพระพุทธเจ้าว่าถ้าจะไปตีชาววัชชีมันจะตีแตกไหม จะออกทัพไปจะแพ้หรือชนะ พระพุทธเจ้าไม่ตอบตรงๆ นะ พระพุทธเจ้าถามพระอานนท์ “อานนท์.. คุณธรรมที่เราบอกเอาไว้ให้เขา จะให้เขาทำ เขาประชุมเป็นแบบสภา เขายังประชุมอยู่ไหม เขายังทำอยู่ไหม ถ้าทำตีเท่าไรก็ไม่แตก เป็นไปไม่ได้ ถ้าความสามัคคีในแว่นแคว้นนั้นมีอยู่ ในความสามัคคีรักใคร่กันอยู่ ให้ตีอย่างไรก็ไม่แตก” อชาตศัตรูส่งพราหมณ์ไปยุแหย่ ที่ไปยุแหย่ให้แตกแยก พอแตกแยกก็โจมตี ตีก็แตก นี่สิ่งที่คาราวะ ๖ แม้แต่ฆราวาส แว่นแคว้นเขายังสมานสามัคคีกัน

ในวงการพระก็เหมือนกัน ในวงการพระ สมณะ ทิฏฐิมานะเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ทุกอย่างเสมอกัน มันจะขับเคลื่อนไปได้ดีมากเลย ทีนี้ความเห็นเสมอกัน มันก็เป็นรูปแบบนะ เพราะอะไร เพราะธรรมวินัย แต่จริตนิสัย เวลาภาวนาไป ครูบาอาจารย์ต้องรู้อีก ต้องรู้จริตนิสัย ดูสิ อาหารที่เรากินอยู่นี่ คนชอบต่างๆ กัน หลากหลายกันมาก ความหลากหลายอันนี้ ถ้าใครกินอาหารที่ถูกจริตของตัว มากินอาหาร เราก็กินได้มาก กินได้ถูกใจ การปฏิบัตินะ ถ้าเราปฏิบัติโดนจริตของเรา ทีนี้คำว่าจริตของเรา เราจะปฏิบัติให้ตรงจริตของเราได้อย่างไร ตรงจริตเห็นไหม

มีคนไปถามหลวงตามาก หลวงตาบอกว่าถ้าเรากำหนดแล้ว โล่ง โปร่ง นั่นน่ะ ความโล่ง ความโปร่งน่ะ ตรงจริตของตัว มันจะทำได้คล่องตัวมาก ทำแล้วอึดอัดขัดข้อง นี่เราต้องหาทางออก หาทางของเราประพฤติปฏิบัติ เราต้องหาทางออกเพราะอะไร เพราะกรรมฐาน ๔๐ ห้องนะ ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ แล้วมันก็หลากหลาย ในขณิกสมาธิก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ในอุปจารสมาธิก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ในอัปปนาสมาธิก็มีหยาบ มีกลาง ละเอียด ความหยาบ กลาง ละเอียด ความหยาบ ความกลาง แม้แต่ความเห็นอันเดียวกัน มันก็มีความมุมมองหลากหลายมาก ความมุมมองหลากหลาย ในการกระทำเราถึงต้องตั้งใจทำของเรา เราตั้งใจของเรานะ เราเกิดมามีอำนาจวาสนามาก

วันนี้วันพระนะ วันนี้วันสำคัญ วันสำคัญ วันพระ วันพระที่แล้วก็ผ่านไปแล้ว วันพระปัจจุบัน วันนี้เป็นวันพระ วันพระเป็นเอกเทศ วันพระวันไหนก็เป็นวันพระวันนั้น แล้วยังมีวันพระอนาคตจะต่อมา แต่วันพระแต่ละวันมันก็เป็นวันพระแต่ละวันเพราะอะไร เพราะเป็นตามวัยนะ วัยของเด็ก วันพระ พ่อแม่ได้ทำบุญกุศล ลูกหลานก็ได้กินอาหารด้วย ลูกหลานก็ได้กินก้นบาตร กินที่เหลือด้วย ลูกหลานก็ดีใจ โอ้โฮ.. วันนี้วันพระ พ่อแม่ทำบุญ ลูกหลานก็ได้สิ่งที่ว่าเป็นบุญกุศล พ่อแม่ทำบุญกุศล พ่อแม่ก็ต้องหาของตัวเอง

ผู้แก่ผู้เฒ่าผ่านวัยมามาก เวลาทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่อเป็นสมบัติของตัว เป็นสมบัติของเราที่จะไปกับเรา ใจเป็นคนคิดกระทำนะ เจตนาที่ออกมาจากบ้าน คิดตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นว่าจะทำบุญ เราคิดตั้งแต่เมื่อวานแล้วใช่ไหม เราได้เตรียมตัวมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วใช่ไหม เราขับรถมาตลอดทาง เราจะไปทำบุญกุศลๆ เจตนาออกมาจากไหน ถ้าไม่มีหัวใจเป็นคนเจตนา ออกมาจากพลังงานของใจดวงนั้น การกระทำมันจะมีมาได้ไหม การกระทำมันออกมาจากใจ แล้วใจเป็นผู้ที่สะสมสิ่งนี้ขึ้นมา นี่บุญกุศลมันตกลงที่นั่น นี่ผู้แก่ผู้เฒ่า เวลาทำบุญกุศลของเขา เขาก็หวังพึ่ง หวังที่พึ่งพาอาศัย แม้แต่วันพระอันเดียวกัน ในครอบครัวของเราตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ แล้วลูกหลานน่ะ ความคิดความเห็นหลากหลายแตกต่างกันมาก ทำบุญเหมือนกัน ตักบาตรอันเดียวกันนั่นน่ะ แต่ความเห็นมันหลากหลายไปขนาดไหน นี่ความเห็นหลากหลาย แล้วเราปัจจุบันนี้เรามีศรัทธา มีความเชื่อ วันนี้วันพระวันเจ้า เราจะอุปัฏฐาก.. ทุกคนเกิดมาว่าเกิดไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียอกเสียใจนะ ถ้าเกิดเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประพฤติปฏิบัติ จะให้ตัวเองหลุดพ้นจากกิเลสไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กลางหัวอกเรานะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ปฏิสนธิจิตอยู่กับเรา ปฏิสนธิจิตพาให้เราเกิดมา พุทธะ ในมหายานบอกเกิดเจอพุทธะที่ไหนต้องฆ่าพุทธะก่อน พุทธะเพราะอะไร พุทธะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ พุทธะของเรา อวิชชามันครอบงำอยู่ พุทธะของเรา เพราะปฏิสนธิจิตมันมีอวิชชา มันถึงต้องให้เราพาเกิดพาตาย

เราเกิดมาในปัจจุบันเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาตอนนี้เจริญรุ่งเรืองมาก เพราะมีครูบาอาจารย์ท่านพาประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เราเข้าไปในตลาดสิ เราไปอยู่ในตลาด นี่ในตลาดมีสินค้าหลากหลายมากเลย แล้วเราก็ไปเก้ๆ กังๆ ไปตลาดก็เดินไปเดินมา เราไม่ทำกิจกรรมในตลาดนั้นเลย แล้วเวลาตลาดนั้นวายไปแล้ว เราจะได้อะไรขึ้นมา ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาเจริญรุ่งเรือง ตลาดกำลังขาขึ้น ตลาดกำลังมีคุณภาพมาก แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราอยู่ท่ามกลางตลาดนะ เราอยู่ท่ามกลางศาสนานี้เจริญรุ่งเรือง เราทำอะไรกัน เราเข้าไปในตลาดก็เก้ๆ กังๆ เข้าไปในตลาด

ธรรมะ ธรรมวินัย เราเกิด เราอยู่ในธรรมวินัยนะ เราเป็นพุทธศาสนิกชนใช่ไหม เราเกิดมาในพระพุทธศาสนา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก เราเป็นอุบาสิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรานะ “มารเอย.. เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรา” ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นบริษัท ๔ เจ้าของพระพุทธศาสนา บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา “เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่เข้มแข็ง ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมปรินิพพาน” มารก็ดลใจมาตลอด มารก็อยากให้นิพพานไปๆ เพราะยิ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมเข้าไป ศาสนามั่นคงขึ้นมา จะมีคนประพฤติปฏิบัติรอดพ้นจากมาร มารไม่สามารถมีที่อยู่อาศัย เพราะมารต้องอาศัยอยู่บนหัวใจของมนุษย์ บนหัวใจของสัตว์โลก แล้วถ้าการประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตนี้มันพ้นไปจากพญามาร พ้นไปจากกิเลส พ้นจากภพ พ้นจากสถานที่ที่มารมันจะหาที่ได้ มารจะอาศัยที่อยู่ มารมันถึงต้องการที่อยู่อาศัยของเขา เขาไม่ยอมหรอก ไม่ยอมให้เราประพฤติปฏิบัติจนรอดพ้นไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมมาตลอด

ครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมนะ การตายและการอยู่มีค่าเท่ากัน เพราะพอกิเลสตาย มันไม่มีอะไรตายหรอก พอกิเลสตายนะ อวิชชาตายไปจากหัวใจ พุทธะสว่างไสว พุทธะ สิ่งที่พุทธะมันเป็นธรรมธาตุ พุทธะนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว นี่มันมีความสุขมาก ทีนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ บอกเป็นนัยกับพระอานนท์นะ “ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ สร้างบุญกุศลมหาศาล จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้” เพราะมารก็มาดลใจ ดลใจ คือการพูดกันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เรื่องจิตวิญญาณ เพราะจิตวิญญาณ ความรู้สึกรับรู้ได้ มารก็เป็นอยู่ที่จิตวิญญาณนั้นน่ะ ดลใจๆ มาตลอด คือว่าการสื่อสารของเรื่องจิตวิญญาณ

ทีนี้พระพุทธเจ้า มันมีเหตุมีผลอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าไม่อยู่โดยหลักลอย พระพุทธเจ้ามีหลัก บอกพระอานนท์ “อานนท์.. ผู้ใดที่มีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้” พูดถึง ๑๖ หน พระอานนท์คิดไม่ได้เลย มารปิดไว้หมดเลย พอถึงที่สุดแล้ว พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ปลงอายุสังขารเลยว่าตั้งแต่วันมาฆบูชา “อีก ๓ เดือนข้างหน้า เราจะปรินิพพาน” โอ๋ย.. โลกธาตุนี่หวั่นไหว พระอานนท์เห็นความแปรปรวนของธรรมชาติ นี่ต้องมีเหตุใดแน่นอน ต้องมีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นแน่นอน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “สิ่งที่ไม่เคยมี ไม่เคยเป็น เป็นแล้วพระเจ้าข้า สิ่งที่โลกธาตุหวั่นไหวนี่เกิดเพราะเหตุใดพระเจ้าข้า”

“อานนท์.. เป็นอย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสรู้หนึ่ง พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารหนึ่ง พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานหนึ่ง โลกธาตุจะหวั่นไหว” พระอานนท์ร้องไห้เลย รู้เลยพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว ขอร้องอ้อนวอน ขอร้องอ้อนวอนไง ขอร้องอ้อนวอนอย่างไร

“อานนท์.. เราบอกเธอมาทั้ง ๑๖ หนแล้วใช่ไหม เธอไม่เคยบอกกล่าวเราไว้เลย ถ้าเธอบอกกล่าวเราไว้ เราจะยับยั้งไว้ทั้ง ๒ หน หนที่ ๓ เราจะรับนิมนต์ของเธอ” อยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้

ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ ต้องพระอรหันต์เท่านั้น ปุถุชนก็ว่ากันไปตามๆ กัน อิทธิบาท ๔ น่ะ จิตตะ วิมังสา ดูจิต พิจารณาจิต ใช้ปัญญา ก็คิดกันว่ากันไป ก็ใช้ปัญญาไตร่ตรองกันไป มันจะเป็นอิทธิบาท ๔ เป็นอิทธิบาท ๔ ทางทฤษฎีไง ทางวิทยาศาสตร์ไง แต่มันไม่เข้าถึงตัวใจ มันไม่เห็นตัวใจของมัน มันไม่เห็นความรู้สึกของมัน มันจะมีอิทธิบาท ๔ ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ ผู้ที่จะพิจารณาอิทธิบาท ๔ ได้ คือผู้ที่สิ้นกิเลสเท่านั้น ผู้ที่สิ้นกิเลสเท่านั้น

สิ่งที่พอปลงอายุสังขารแล้ว พระพุทธเจ้าวันปรินิพพานยังสร้างประโยชน์อีกมหาศาล สร้างประโยชน์อีกมหาศาลนะ เพราะอะไร เพราะจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เพื่อให้ศาสนานี้มั่นคง

แล้วเราเกิดมาท่ามกลางพระพุทธศาสนา เราเกิดท่ามกลางแล้วนะ เรามีหัวใจ เราอยู่กลางตลาด เราอยู่กลางตลาดที่ตลาดกำลังมีกิจกรรมมหาศาล เราจะทำไหม เราจะทำกิจกรรมไหม เราจะหาซื้อถูกขายแพง เราจะทำ เราหาการตลาดไหม การซื้อถูกขายแพงคือกิจกรรมในตลาดนั้น ที่เราทำของเราคือวิปัสสนาของเรา เราภาวนาของเราขึ้นมา ถ้าตลาดวายนะ พอตลาดวายขึ้นไปนะ สังคม การเชื่อมั่นในศาสนามันจะเสื่อมทรามไป ความจริงมีอยู่ แต่ความไม่เชื่อของเรา ความไม่เห็นจริงของเรา มันเสื่อมทรามจากความรู้สึกของเรา มันเสื่อมทรามจากหัวใจของเราไปเอง แล้วเวลาเราสิ้น หมดอายุขัยไป นี่พ้นจากตลาด หลุดออกจากตลาดนั้นไป เราจะไปเก้อๆ เขินๆ อยู่คนเดียวนะ

เวลาตาย จิตออกจากร่าง จิตนี้ออกจากร่าง วิญญาณออกจากร่าง หดตัวเข้ามาเป็นจุดศูนย์กลางของมัน ปฏิสนธิจิตแล้วก็เคลื่อนออกจากร่างไป ออกจากร่างไป ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ปฏิสนธิจิตไปเกิดในไข่ของมารดา ไปเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นสัตว์ ไปเกิดต่างๆ จิตมันเคลื่อนออกจากร่างไป นี่ตลาดมันวาย พอตลาดมันวายก็ไปเก้อๆ เขินๆ อยู่คนเดียว เพราะไปตายไปเกิดในสถานะใหม่ มันก็ไปอยู่ในสถานะใหม่ของมัน แล้วก็ว่าการเกิดการตายไม่มี สิ่งใดก็ไม่มี กิเลสมันครอบงำหมดน่ะ เราเสวยสุขของเราไปคนเดียวก็พอ ทำไมต้องไปทุกข์ ทำให้ตัวเองทุกข์ ลำบากเปล่า นั่นไง การทุกข์ลำบากเปล่า

สิ่งที่ในปัจจุบันนี้เราทุกข์ไหม สิ่งในปัจจุบันนี้ อะไรมันบีบค้ำหัวใจ สิ่งที่บีบคั้นหัวใจเราน่ะ นั่นมันคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันเอากิเลสตัณหาความทะยานอยากออกไปจากใจแล้ว ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ๔๕ ปีน่ะ มีชีวิตอยู่ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ ถ้าอวิชชามันทำลายออกไปจากใจแล้ว มันมีอะไรในหัวใจบีบคั้น สิ่งที่บีบคั้นเรามันคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบีบคั้นเราใช่ไหม สิ่งที่บีบคั้นคือพญามาร ฝ่ายความคิดของมารน่ะบีบคั้นเรา แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามธรรมวินัยนั้น นี่ธรรมวินัยนั้น เพื่อจะชำระกิเลสของเรา เพื่อจะต่อสู้กับกิเลสของเรา แล้วบอกมันเป็นความลำบากได้อย่างไร

เราจะกินอาหาร เรายังต้องตักใส่ปากเลย อาหารต้องหยิบใส่ปาก การหยิบอาหารใส่ปากน่ะ ปากมันเอาเปรียบมือ มือต้องหยิบอาหารใส่ปาก มือไม่ได้รสชาติสิ่งใดๆ มือเอาหยิบอาหารใส่ปาก นี่อ้าปากได้เคี้ยวก็กลืนลงไป.. นี่มันก็ไปโต้แย้งกัน นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันก็ไปลำบากเปล่าๆ ทำตัวให้ลำบากเปล่า แต่มันไม่ได้บอกหรอกว่าเราทำให้กิเลสมันขยับตัว ทำให้กิเลสมันได้รู้สึกตัว ถ้าเรารู้สึกตัวนะ เรามีเจตนา เราฟังธรรมแล้วมันสะเทือนหัวใจนะ ธรรมนี่สะเทือนหัวใจมาก สะเทือนหัวใจ ทำไมเราตั้งใจ ถ้าเราตั้งใจ การกระทำเราจะเกิดขึ้น

แล้วการกระทำเกิดขึ้นน่ะ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ เป็นสัมมาสมาธิ ทุกอย่างเป็นสัมมา มันจะถูกต้องดำเนินตลอดไป แต่เรามีกิเลสในหัวใจ เรามีสิ่งต่างๆ มายับยั้งในหัวใจอยู่แล้ว เราทำสิ่งใด เข้าไปในตลาด ประชาชนเขาไปตลาด เขาก็ไปซื้อจับจ่ายสินค้ากัน เราไปตลาด เราก็จะไปจับ ไปฉกฉวยของเขา มันจะเป็นมาได้อย่างไร คนที่เขาประพฤติปฏิบัติของเขาอยู่ เห็นไหม เขาไปตลาด เขาไปจับจ่ายใช้สอยของเขา ไอ้เราเข้าไปจะไปฉกฉวย ไปฉกชิงความดีความชอบจากศาสนา เราว่าเป็นสมาธิๆ เป็นปัญญาว่ามันจะไปฉกฉวยขึ้นมาน่ะ มันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองไม่ได้เข้าไปทำกิจกรรมโดยความเป็นสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้อง

ในการประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปเดือดร้อนในใจว่าทำแล้วจะไม่ได้ผลๆ หน้าที่ของเรา เราทำ เพราะเราไม่สามารถให้ค่าให้คะแนนกับตัวเราเองได้ มันเป็นสัจธรรมนะ ความจริงขึ้นมา สมาธิก็เป็นสมาธิกับเราขึ้นมา ปัญญาก็เป็นปัญญากับเราขึ้นมา มันเป็นสัจจะความจริง หน้าที่ของเราเข้าไปจับจ่ายใช้สอยโดยกำลังนะ มีมากมีน้อยก็แต่อำนาจวาสนาของคนใช่ไหม คนมีมากก็ใช้จับจ่ายมาก คนมีน้อยก็ใช้จับจ่ายน้อย มันเป็นเรื่องของเขา อำนาจวาสนาบารมีก็เหมือนกัน ทำได้ง่าย ทำได้ยาก ทำต่างๆ มันก็เป็นหน้าที่ของเรา เพราะเราสร้างมาอย่างนี้ ของเราสร้างมาเอง เราจะไปเดือดเนื้อร้อนใจกับใคร เราทำของเรามา นี้เราทำของเรามาแล้ว เราต้องพอใจในการกระทำของเรา

แล้วในปัจจุบันนี้ ตลาดกำลังดีอยู่ ต้องเตือนสติตัวเอง ชีวิตนี้คืออะไร เกิดมาทำไม เกิดมาจากไหน เจอกันอยู่อย่างนี้ วันคืนล่วงไปๆ นะ วันนี้พอพระอาทิตย์ตกก็หมดไปอีกวันหนึ่ง แล้ววันพรุ่งนี้ต่อไป แล้วก็ยังมียังรื่นเริงอาจหาญนะ ยังไม่ตาย จะอยู่ค้ำฟ้า พอไปถึงเวลาจะตายขึ้นมานะ คอตกเลย หาทางออกไม่ได้ นี่ตลาดมันวาย แล้วจะหาทางออกไม่เจอ

นี้วันพระวันเจ้า ตั้งสติ แล้วพยายามขวนขวายหาประโยชน์กับเรา ชีวิตมีเท่านี้แหละ มันก็อยู่กินกันไปอย่างนี้ โลกเขาอาศัยไปอย่างนี้ ก็หาปัจจัยอาศัยกัน แล้วอาศัยแล้วก็หมดไปวันๆ หนึ่ง แล้วพอตายตลาดวายไปแล้วก็ไปนั่งคอตก แล้วปัจจุบันนี้ตลาดมันกำลังสดชื่นอยู่ ทำไมไม่หาทางออก

พุทธศาสนา พระพุทธเจ้ารื้อขนสัตว์นะ พระพุทธเจ้า เวลาทรมานทุกขกิริยา ๖ ปี พยายามหาธรรมะ หาจนกว่าจะพ้นออกมาได้ แล้วเราเกิดมา ธรรมะมันวางอยู่ซึ่งๆ หน้า ของที่มันจับต้องได้ ที่มันจะพร้อมที่จะกระทำเลย...ไม่เอากัน นี่ไง ไม่เอากัน แล้วเราก็มาบ่น ทุกข์ๆๆๆๆ มันก็สมน้ำหน้าให้มันทุกข์จนตาย เอวัง